Blood Red Sky หนังที่ผสมระหว่างซอมบี้กับแวมไพร์
Blood Red Sky หนังที่ผสมระหว่างซอมบี้กับแวมไพร์
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แนวสยองขวัญเชื่อว่าหลายคนน่าจะต้องชื่นชอบภาพยนตร์แนวซอมบี้และภาพยนตร์แนวแวมไพร์อย่างแน่นอน เพราะทั้งแวมไพร์และซอมบี้นั้นต่างก็เป็นตัวละครยอดนิยมในภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่มีการหยิบนำเอามาใช้อยู่เรื่อย แต่อย่างไรก็ตามเรายังไม่เคยเห็นตัวละครเหล่านี้เข้ามาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันหรือผสมผสานกันเลยแม้แต่น้อย ลองจินตนาการดูว่าความสยองจะเพิ่มขึ้นขนาดไหนหากมีการนำเอาซองที่และแวมไพร์มาผสมผสานเข้าด้วยกัน
หากคุณอยากจะลองรับชมเราขอแนะนำภาพยนตร์เรื่อง Blood Red Sky เป็นหนังน่าดูบน netflix ที่เข้าใหม่แต่ก็สามารถสร้างกระแสความนิยมได้อย่างถล่มทลาย ภาพยนตร์จะเล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวที่มีชื่อว่านาเดีย เธอนั้นต้องการจะเดินทางจากเยอรมันไปยังอเมริกาเพื่อรักษาอาการป่วยแปลกประหลาดที่เธอกำลังเผชิญอยู่พร้อมกับลูกชายตัวน้อยของเธอ เธอนั้นรู้สึกกระหายเลือดตลอดเวลาเนื่องจากถูกแวมไพร์กัดและแพร่เชื้อให้ แต่เรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีโจรสลัดอากาศจับผู้โดยสารเป็นตัวประการและยึดเครื่องบินเพื่อเรียกค่าไถ่จากรัฐบาล เพื่อปกป้องลูกชายและผู้คนที่อยู่บนเครื่องบินเอาไว้เธอจึงต้องปลุกบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในตัวเธอให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเหล่าโจรสลัดอากาศพวกนี้ให้สำเร็จ
ภาพยนตร์ได้นำเอาแวมไพร์มาผสมเข้ากับซอมบี้ด้วยการแพร่เชื้อ ทำให้มันมีความน่าสนใจเป็นอย่างมากว่าการต่อสู้ของนาเดียนั้นจะเป็นอย่างไรหากเธอกัดเราโจรสลัดอากาศและเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นแวมไพร์เหมือนกับเธอ ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์ยังสามารถเติมเต็มความสยองขวัญได้อย่างเต็มที่ด้วยการเซ็ตฉากให้อยู่บนเครื่องบินซึ่งบินอยู่เหนือพื้นโลกถึง 3 หมื่นฟุตแถมยังเป็นที่แคบที่ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อีกด้วย ภาพยนตร์สามารถนำเอาจุดนี้มาสร้างความกลัวได้อย่างคุ้มค่า
การต่อสู้กันระหว่างแวมไพร์แม่ลูกอ่อนและโจรสลัดอากาศนั้นก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่การต่อสู้กันธรรมดาทั่วไปแต่มีอะไรที่น่าสนใจมากมายที่สำคัญคือโหดเลือดสาดกระจายสะใจอย่างแน่นอน มีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แวมไพร์ให้ดูมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ตัวละครเด็กอย่างลูกของนางเอกนั้นไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใดแถมยังเป็นตัวละครสำคัญอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่ภาพยนตร์เปิดเรื่องมาฉากแรกก็เล่าถึงตอนที่ภาพยนตร์ใกล้จะจบทำให้มันกลายเป็นการสปอยตัวเองไปในตัว บางประเด็นยังค่อนข้างคลุมเครือจนทำให้ขาดเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนขึ้นได้ ที่สำคัญคือฉากจบไม่ได้มีการจบแบบทิ้งประเด็นอะไรเอาไว้ให้สานต่อเลยแม้แต่น้อย